ยึดคืนรางวัลทูตมโนธรรมสำนึก จาก “ซูจี”

Aung San Suu Kyi collects the Amnesty International Ambassador of Conscience award (2009) at the Electric Burma Concert held her in honour in Dublin, Ireland, 18 June 2012. Aung San Suu Kyi was presented with the award by Bono and Amnesty International Secretary General Salil Shetty.

แอมเนสตี้ เรียกคืน “รางวัลทูตแห่งมโนธรรมสำนึก” จาก “อองซาน ซูจี” ชี้ผิดหวังทรยศต่อสัญลักษณ์ ความหวัง ความกล้าหาญ การยืนหยัดปกป้องสิทธิมนุษยชน

Advertisement

คูมี นายดู เลขาธิการแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เขียนจดหมายถึงอองซานซูจี แจ้งให้ทราบว่า ทางองค์การได้ยกเลิกรางวัลสูงสุด ที่เคยให้กับอองซานซูจี คือรางวัลทูตแห่งมโนธรรมสำนึก (Ambassador of Conscience Award) ที่เคยมอบให้เมื่อปี 2552 โดยแสดงความผิดหวังที่เธอไม่ได้ใช้อำนาจทางการเมือง และทางศีลธรรมที่มีอยู่เพื่อปกป้องสิทธิมนุษยชน ความยุติธรรม หรือความเท่าเทียมในเมียนมา การที่เธอเพิกเฉยต่อการทารุณกรรมของกองทัพเมียนมา และการที่รัฐไม่อดทนอดกลั้นต่อการใช้เสรีภาพในการแสดงออกของประชาชน ซึ่งทั้งหมดนี้เกิดขึ้นหลังจากที่เธอดำรงตำแหน่งทางการเมืองมาแล้วครึ่งเทอม หรือแปดปีหลังจากได้รับการปล่อยตัวจากการถูกกักบริเวณภายในบ้าน
“ในฐานะทูตแห่งมโนธรรมสำนึก (Ambassador of Conscience Award) ของแอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล เราคาดหวังว่าอองซานซูจีจะยังคงใช้อำนาจทางศีลธรรมที่มีอยู่ เพื่อต่อต้านความอยุติธรรมทุกครั้งที่พบเห็น อย่างน้อยที่สุดภายในเมียนมาทุกวันนี้ เราผิดหวังอย่างยิ่งที่ท่านไม่ได้เป็นสัญลักษณ์ของความหวัง ความกล้าหาญ และการยืนหยัดปกป้องสิทธิมนุษยชนอีกต่อไป แม้จะเสียใจเป็นอย่างยิ่ง แต่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลไม่อาจรับรองสถานะของท่านในฐานะทูตแห่งมโนธรรมสำนึกอีกต่อไป เราจึงขอถอนรางวัลนี้ที่เคยมอบให้กับท่าน”

แอมเนสตี้

คูมี กล่าวเพิ่มเติมว่า การที่อองซานซูจีไม่ออกมาปกป้องชาวโรฮิงญา เป็นเหตุผลอย่างหนึ่งที่เราไม่สามารถยอมรับเธอในฐานะทูตแห่งมโนธรรมสำนึกได้อีกต่อไป
“การที่เธอปฏิเสธถึงระดับความรุนแรงของการกระทำดังกล่าว ถือเป็นการปิดกั้นโอกาสที่จะแก้ไขสถานการณ์เพื่อช่วยเหลือชาวโรฮิงญาหลายแสนคนซึ่งถูกทอดทิ้งอยู่ในบังกลาเทศหรืออีกหลายแสนคนซึ่งยังคงอยู่ในรัฐยะไข่ หากไม่มีการยอมรับว่าได้เกิดอาชญากรรมร้ายแรงต่อชุมชนเหล่านี้ เราย่อมไม่มีโอกาสเห็นรัฐบาลดำเนินการเพื่อปกป้องคุ้มครองพวกเขาจากความทารุณโหดร้ายในอนาคต”
คูมี กล่าวทิ้งท้ายว่า เราจะยังคงต่อสู้เพื่อความยุติธรรมและสิทธิมนุษยชนในเมียนมาต่อไป ไม่ว่าจะด้วยความสนับสนุนของเธอหรือไม่ก็ตาม