ยกเลิกเคอร์ฟิวทั่วประเทศ!! ศบค.ต่อเวลาพรก.ฉุกเฉินอีก 2 เดือน

ปลอดเคอร์ฟิว!! ศบค.เคาะผ่านขยายเวลาพรก.ฉุกเฉินไปอีก 2 เดือน ตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2564-31 ม.ค.2565 พร้อม ยกเลิกการออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ทุกพื้นที่

Advertisement

นพ.ทวีศิลป์ วิษณุโยธิน โฆษกศูนย์บริหารสถานการณ์โควิด (ศบค.) กล่าวสรุปมติในที่ประชุม ศบค.ชุดใหญ่ ที่มีพล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ในฐานะ ผอ.ศบค. เป็นประธานว่า ที่ประชุมได้มีมติขยายเวลาประกาศใช้สถานการณ์ฉุกเฉินทั่วราชอาณาจักร (คราวที่ 15) ออกไปอีก 2 เดือนตั้งแต่ 1 ธ.ค. 2564-31 ม.ค.2565 เพื่อให้เกิดความชัดเจนในการปฏิบัติหน้าที่และการดำเนินชีวิตของประชาชน

นอกจากนี้ ยังมีการปรับระดับพื้นที่ ยกเลิกพื้นที่สีแดงเข้ม เพิ่มพื้นที่สีฟ้าหรือพื้นที่นำร่องท่องเที่ยวเป็น 7 จังหวัด และเมื่อไม่มีพื้นที่สีแดงเข้มจึงยกเลิกการออกนอกเคหสถาน (เคอร์ฟิว) ทุกพื้นที่ ทำให้ขณะนี้มีการปรับระดับพื้นที่ ได้แก่ พื้นที่ควบคุมสูงสุด (สีแดง) 39 จังหวัด ปรับเป็น 23 จังหวัด พื้นที่ควบคุม (สีส้ม) 23 จังหวัด ปรับเป็น 23 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวังสูง (สีเหลือง) 5 จังหวัด ปรับเป็น 24 จังหวัด พื้นที่เฝ้าระวัง (สีเขียว) ไม่มี และพื้นที่สีฟ้า (นำร่องการท่องเที่ยว) 4 จังหวัด ปรับเป็น 7 จังหวัด ได้แก่ กทม. กระบี่ กาญจนบุรี นนทบุรี ปทุมธานี พังงา และภูเก็ต ทั้งนี้ให้มีผลตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค.2564 เป็นต้นไป

ขณะเดียวกันจะให้ผู้เดินทางเข้าประเทศทุกช่องทางแบบ Test and Go เดินทางเข้ามาโดยไม่ต้องตรวจ RT-PCR เหลือเพียงตรวจ ATK เพราะการตรวจแบบเดิมต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในการรอ แต่หากตรวจด้วย ATK จะใช้เวลารอไม่นานจากนั้นสามารถท่องเที่ยวได้ทันที ทั้งนี้สำหรับเด็กอายุต่ำกว่า 6 ขวบ ไม่จำเป็นต้องตรวจหาเชื้อก่อนเข้าราชอาณาจักร

นอกจากนี้ยังเพิ่มการเดินทางเข้าประเทศทั้งทางบก และทางเรือ โดยจะนำร่องเข้าผ่านทาง จ.หนองคาย เริ่ม 24 ธ.ค.2564 แต่การเดินทางเข้าประเทศผ่านทางเรือจะมีข้อกำหนด คือ ต้องได้รับวัคซีน และจะมีการตรวจ RT-PCR บนเรือ เป็นต้น ซึ่งมาตรการป้องกันโควิดสำหรับการเดินทางเข้าราชอาณาจักรไทยทั้งหมดนี้ จะมีผลตั้งแต่ 16 ธ.ค.2564

ส่วนคนไทยที่ต้องการเดินทางไปต่างประเทศและต้องการขอวัคซีนพาสปอร์ต ที่ประชุมเห็นชอบให้ออกวัคซีนพาสปอร์ตแบบอิเล็กทรอนิกส์ผ่านแอปพลิเคชั่น ‘หมอพร้อม’ โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย เป็นของขวัญปีใหม่ให้กับคนไทย

ทั้งนี้ที่ประชุมยังให้กระทรวงแรงงานรายงานสถานการณ์แรงงานในประเทศและความก้าวหน้าในการนำเข้าแรงงานเข้าประเทศด้วยว่า มีเป้าหมายแรงงานที่ไทยต้องการ คือ 424,703 คน และมีการเปิดสถานที่กักตัว 5 จังหวัด คือ ตาก ระนอง หนองคาย มุกดาหาร และสระแก้ว ผู้ประกอบการไม่ต้องนำเข้าแรงงานข้ามชาติผิดกฎหมาย เพราะอีกไม่นานจะมีการนำเข้าแรงงานถูกกฎหมายกว่า 400,000 คน